บทความด้านความปลอดภัย

ประเภทของรองเท้าเซฟตี้

รองเท้าเซฟตี้ หรือรองเท้านิรภัย (Safety Shoes) เป็นรองเท้าที่ออกแบบมาเพื่อให้ความปลอดภัยสำหรับการทำงานในสภาพแวดล้อมที่อาจเกิดอันตรายได้ง่าย รองเท้าเซฟตี้จึงเป็นอุปกรณ์ป้องกันอันตรายบริเวณเท้าและขาที่สำคัญ โดยลดความเสี่ยงจากการทำงานในสภาพแวดล้อมอันตราย รวมทั้งช่วยป้องกันการบาดเจ็บและอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้

 

ประเภทของรองเท้าเซฟตี้หรือรองเท้านิรภัย

รองเท้าเซฟตี้มีหลายประเภทออกแบบมาเพื่อตอบสนองการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งประเภทหลักๆ ได้ดังนี้

  1. รองเท้าหัวเหล็ก (Steel Toe Shoes/Boots) – มีหัวรองเท้าทำจากเหล็กหรือโลหะแข็งแรง เพื่อป้องกันอันตรายจากการกระแทกหรือวัตถุหนักทับ
  2. รองเท้าพื้นเหล็ก (Steel Midsole/Plate Shoes) – มีแผ่นเหล็กฝังอยู่ระหว่างพื้นรองเท้า ป้องกันการถูกแทงจากวัตถุมีคม
  3. รองเท้าป้องกันไฟฟ้า (Electrical Hazard Shoes) – วัสดุฉนวนพื้นรองเท้า เพื่อป้องกันอันตรายจากกระแสไฟฟ้า
  4. รองเท้าป้องกันไฟฟ้าสถิตย์ (Antistatic Shoes) – วัสดุนำไฟฟ้าสถิต ป้องกันการสะสมประจุไฟฟ้าสถิตย์
  5. รองเท้าป้องกันสารเคมี (Chemical Resistant Shoes) – ทำจากวัสดุพิเศษทนต่อสารเคมี เช่น กรด ด่าง สารตัวทำละลาย
  6. รองเท้ากันน้ำ (Waterproof Safety Shoes) – ทนน้ำและป้องกันสภาพเปียก ใช้งานในสภาพแวดล้อมเปียกชื้น
  7. รองเท้ากันไฟ (Fire Resistant Shoes) – วัสดุทนต่อความร้อนและเปลวไฟ สำหรับงานที่มีความเสี่ยงจากไฟไหม้
  8. รองเท้านิรภัยพิเศษ – ผสมคุณสมบัติหลายๆ อย่างเข้าด้วยกัน เช่น ทนทั้งสารเคมี ไฟฟ้า และความร้อน เป็นต้น

 

นอกจากนี้ยังแบ่งตามวัสดุ เช่น รองเท้าหนัง รองเท้าผ้า ตามประเภทของงานและสภาพแวดล้อม เพื่อให้ได้ความปลอดภัยและเหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุด

คุณสมบัติของรองเท้าแต่ละประเภท

รองเท้าหัวเหล็ก (Steel Toe Shoes/Boots)

  1. ปลายรองเท้าทำจากเหล็กกล้าหรือโลหะเจือแข็งแกร่ง เพื่อป้องกันอันตรายจากการกระแทกหรือวัตถุหนักทับบริเวณนิ้วเท้าและส้นเท้า
  2. สามารถป้องกันแรงกระแทกจากวัตถุหนักได้ถึง 200 จูล หรือ 6.5 กิโลกรัมตกจากระดับความสูง 1 เมตร
  3. นิยมใช้ในงานก่อสร้าง, งานในโรงงานอุตสาหกรรม, งานซ่อมบำรุง เนื่องจากมีความทนทานและให้การป้องกันสูง
  4. ทำจากวัสดุอย่างดี เช่น หนังวัว หนังกลับ พลาสติกอย่างแข็งแรง เพื่อทนทานต่อการใช้งานหนัก
  5. บางรุ่นมีดีไซน์ที่กันน้ำ ทนต่อสารเคมี หรือฉนวนกันไฟฟ้า เพื่อตอบโจทย์การใช้งานเฉพาะด้าน
  6. ด้านในอาจบุด้วยวัสดุนุ่มเพื่อเพิ่มความสบายเท้า สวมใส่ได้นาน

รองเท้าหัวเหล็กจึงเป็นหนึ่งในมาตรฐานด้านความปลอดภัยในการทำงานภาคสนาม เพื่อลดอุบัติเหตุและบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นได้จากการทำงานในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่ออันตราย

 

รองเท้าพื้นเหล็ก (Steel Midsole/Plate Shoes)

มีแผ่นเหล็กบางๆ หรือแผ่นเหล็กกล้าฝังอยู่ระหว่างพื้นรองเท้ากับส้นรองเท้า เพื่อเพิ่มการป้องกันไม่ให้วัตถุมีคม เช่น เข็ม ตะปู หรือสิ่งของที่แหลมคมแทงทะลุจากด้านล่างขึ้นมา ซึ่งอาจทำให้เกิดบาดแผลที่ฝ่าเท้าได้

  1. 2. ช่วยกระจายแรงกดจากวัตถุมีน้ำหนักมากกระแทกลงที่พื้นรองเท้า ลดอาการบาดเจ็บบริเวณฝ่าเท้า
  2. 3. สำหรับใช้ในงานก่อสร้าง โรงงาน คลังสินค้า ที่มีโอกาสเหยียบวัตถุมีคมหรือวัสดุตกหล่นจากที่สูง
  3. 4. บางรุ่นผลิตจากโลหะอื่นแทนเหล็ก เช่น อะลูมิเนียม เพื่อลดน้ำหนัก แต่มีความแข็งแรงใกล้เคียงกัน
  4. 5. ด้านบนรองเท้าอาจเป็นหนังหรือวัสดุอื่นตามความเหมาะสมกับประเภทงาน

รองเท้าพื้นเหล็กจึงมีจุดเด่นในการป้องกันอันตรายจากรองเท้าถูกแทงทะลุและช่วยกระจายแรงกระแทกจากด้านล่าง ช่วยลดความเสี่ยงในการทำงานบนพื้นผิวที่อาจมีวัตถุมีคม

 

รองเท้าป้องกันไฟฟ้าสถิตย์ (Antistatic Shoes)

  1. ผลิตจากวัสดุนำไฟฟ้าสถิตย์ได้ดี เช่น หนังที่ผ่านการเคลือบด้วยสารละลายโลหะ เพื่อปล่อยประจุไฟฟ้าสถิตย์ออกจากรองเท้า
  2. มีค่าความต้านทานไฟฟ้าอยู่ในช่วงที่เหมาะสม ไม่นำไฟฟ้ามากเกินไปจนเป็นอันตราย แต่ก็ไม่ฉนวนมากเกินจนไม่สามารถปล่อยประจุได้
  3. พื้นรองเท้ามีส่วนผสมของคาร์บอนหรือไฟเบอร์ที่มีคุณสมบัตินำไฟฟ้า เพื่อนำกระแสไฟฟ้าสถิตย์จากรองเท้าสู่พื้น
  4. ช่วยป้องกันอันตรายจากการสะสมประจุไฟฟ้าสถิตย์ในร่างกาย ซึ่งอาจก่อให้เกิดประกายไฟ ระเบิด หรืออันตรายอื่นๆ
  5. ใช้ในโรงงานผลิตสารเคมี โรงกลั่นน้ำมัน คลังเก็บวัตถุไวไฟ และสถานที่ที่มีสารระเหยไวต่อประจุไฟฟ้าสถิตย์
  6. บางรุ่นอาจผสมคุณสมบัติอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น หัวเหล็ก พื้นเหล็ก กันน้ำ เป็นต้น

รองเท้าป้องกันไฟฟ้าสถิตย์จึงเป็นอุปกรณ์สำคัญในการทำงานที่มีความเสี่ยงต่อการสะสมประจุไฟฟ้าสถิตย์ ช่วยลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นจากประจุไฟฟ้าสถิตย์ได้เป็นอย่างดี

รองเท้าป้องกันไฟฟ้า (Electrical Hazard Shoes)

  1. พื้นรองเท้าและส้นรองเท้าทำจากวัสดุฉนวนไฟฟ้า เช่น ยาง หนังสังเคราะห์ พลาสติกพิเศษ เพื่อไม่ให้กระแสไฟฟ้าผ่านมายังร่างกาย
  2. ต้านทานแรงดันไฟฟ้าได้สูงมาก บางรุ่นสามารถทนต่อแรงดันได้ถึง 600 โวลต์ เพื่อให้ปลอดภัยแม้สัมผัสกับสายไฟที่ชำรุด
  3. พื้นรองเท้ามักมีลวดลายเพื่อเพิ่มแรงเสียดทาน ป้องกันการลื่นล้มในสภาพที่อาจเปียกหรือมีน้ำมัน
  4. ใช้ในงานที่เกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้ากำลังสูง เช่น การก่อสร้าง งานซ่อมบำรุงสถานีไฟฟ้า โรงงานผลิตพลังงาน
  5. บางรุ่นอาจมีคุณสมบัติเสริมอื่นๆ เช่น หัวเหล็ก กันน้ำ ทนสารเคมี เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานมากขึ้น
  6. ช่วยลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุจากไฟฟ้ารั่ว ไฟช็อต หรือสัมผัสกับสายไฟที่ไม่ปลอดภัย

รองเท้าป้องกันไฟฟ้าจึงเป็นอุปกรณ์จำเป็นสำหรับผู้ที่ต้องทำงานอยู่ใกล้กับแหล่งกำเนิดไฟฟ้า เพื่อให้ความปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากอันตรายจากไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

รองเท้าป้องกันสารเคมี (Chemical Resistant Shoes/Boots)

  1. วัสดุหลักของรองเท้าเป็นพลาสติกหรือยางสังเคราะห์ชนิดพิเศษ ที่ทนทานต่อสารเคมีหลายชนิด เช่น กรด ด่าง สารตัวทำละลาย น้ำมัน จาระบี
  2. ส่วนด้านบนของรองเท้าอาจเป็นหนังสังเคราะห์ หรือผ้ายางกันน้ำกันเปื้อน เพื่อไม่ให้ซึมซับสารเคมี
  3. มีการหุ้มส่วนต่อเชื่อมระหว่างพื้นกับตัวรองเท้าด้วยวัสดุเดียวกัน เพื่อป้องกันรอยรั่ว
  4. พื้นรองเท้ามีลวดลายเป็นร่องลึกหรือมีร่องย่นเพื่อเพิ่มแรงเสียดทาน ไม่ลื่นแม้อยู่ในสภาพเปียกและมีสารเคมี
  5. รองรับการใช้งานในโรงงานผลิตสารเคมี สถานที่เก็บสารเคมี ห้องปฏิบัติการ หรืองานทำความสะอาดที่ต้องสัมผัสสารเคมี
  6. บางรุ่นมีความสามารถอื่นๆ เสริม เช่น ทนต่ออุณหภูมิสูงหรือต่ำ ป้องกันประจุไฟฟ้าสถิต ป้องกันการลื่นล้ม เป็นต้น

รองเท้ากันสารเคมีจึงเป็นอุปกรณ์ป้องกันอันตรายที่สำคัญสำหรับการทำงานที่ต้องสัมผัสกับสารเคมีโดยตรง เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดจากการซึมซับหรือกัดกร่อนของสารเคมี ลดความเสี่ยงจากการบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สรุป

การเลือกใช้รองเท้านิรภัย (Safety Shoes) ให้เหมาะสมนั้นมีความสำคัญมากเพื่อป้องกันอุบัติเหตุและบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้นในสถานที่ทำงาน การเลือกใช้รองเท้านิรภัยต้องพิจารณาประเภทของงานและสภาพแวดล้อมที่จะทำงาน เพื่อให้ได้รับการป้องกันอย่างเหมาะสมและปลอดภัยสูงสุด