รองเท้าเซฟตี้หุ้มส้นหนังแท้ Stunt 7006
NeuKing รุ่น NKC93K รองเท้าเซฟตี้กันไฟฟ้า
NFORZ รองเท้าเซฟตี้สีขาว
NFORZ รองเท้าเซฟตี้สีดำ
PRIMO รองเท้าเซฟตี้สำหรับงานครัว
SILVO รองเท้าเซฟตี้งานครัว
TONY รองเท้าเซฟตี้สำหรับงานครัว
รองเท้าเซฟตี้ FWIA216135BK UTAH
รองเท้าบูทเซฟตี้ FWIA296125BR TEXAS
STLL-2BK รองเท้าบูท PVC สีดำ S5 หัวเหล็กพื้นเหล็ก
STLL2 รองเท้าบูทสีขาวสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร
รองเท้าเซฟตี้
รองเท้าหัวเหล็กเป็นอุปกรณ์เซฟตี้ที่จำเป็นสำหรับป้องกันเท้าจากอันตรายต่างๆ เช่นของหนักหล่นใส่ หรือ ป้องกันตะปูแทงทะลุ ป้องกันการลื่น ป้องกันไฟฟ้าดูด เป็นต้น
รองเท้าเซฟตี้มีมาตรฐาน
มาตรฐานของรองเท้าเซฟตี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เรามั่นใจในความปลอดภัยขณะทำงาน รองเท้าที่ผ่านมาตรฐานสากลมักมีคุณสมบัติทนทานต่อสารเคมี,ป้องกันการลื่น การเลือกรองเท้าที่ประสิทธิภาพตามมาตรฐานจึงเป็นการลงทุนที่สำคัญสำหรับความปลอดภัยในการทำงาน เช่น EN ISO 20345: 2011 หรือ ASTM F2413-11
รองเท้าเซฟตี้หรือรองเท้านิรภัยมีหลากหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งประเภทหลักๆ ได้ดังนี้
- รองเท้าหัวเหล็ก (Steel Toe Shoes/Boots) – มีหัวรองเท้าทำจากเหล็กหรือโลหะแข็งแรง เพื่อป้องกันอันตรายจากการกระแทกหรือวัตถุหนักทับ ช่วยปกป้องนิ้วเท้าและส่วนหน้าเท้า
- รองเท้าพื้นเหล็ก (Steel Midsole/Plate Shoes) – มีแผ่นเหล็กฝังอยู่ระหว่างพื้นรองเท้า เพื่อป้องกันการถูกแทงจากวัตถุมีคม ช่วยปกป้องพื้นเท้า
- รองเท้าป้องกันไฟฟ้า (Electrical Hazard Shoes) – มีวัสดุฉนวนพื้นรองเท้า เพื่อป้องกันอันตรายจากกระแสไฟฟ้า ช่วยปกป้องจากการถูกไฟฟ้าดูด
- รองเท้าป้องกันไฟฟ้าสถิตย์ (Antistatic Shoes) – มีวัสดุนำไฟฟ้าสถิตย์ เพื่อป้องกันการสะสมประจุไฟฟ้าสถิตย์ ช่วยระบายประจุไฟฟ้าสถิตย์ออกจากร่างกาย
- รองเท้าบูทป้องกันสารเคมี (Chemical Resistant Shoes) – ทำจากวัสดุพิเศษทนต่อสารเคมี เช่น กรด ด่าง และสารตัวทำละลาย เพื่อป้องกันอันตรายจากสารเคมีที่อาจหกรดหรือกระเด็นใส่
การทำงานในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่ออันตรายและอุบัติเหตุต่างๆ จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานเป็นอย่างยิ่ง และรองเท้าเซฟตี้ถือเป็นอุปกรณ์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันอันตรายจากการทำงาน ดังนั้น การเลือกใช้รองเท้าเซฟตี้ที่เหมาะสมกับลักษณะงานและสภาพแวดล้อมการทำงานจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดและการทดสอบความทนทาน การป้องกันสารเคมี และการดูดซับแรงกระแทกสำหรับรองเท้าเซฟตี้ เพื่อให้มั่นใจว่ารองเท้ามีคุณภาพและความปลอดภัยสูงสุดสำหรับผู้สวมใส่ ซึ่งจะทดสอบโดยองค์กรรับรองมาตรฐาน
มาตรฐานความปลอดภัย
สำหรับรองเท้าเซฟตี้หรือรองเท้านิรภัยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้แน่ใจว่ารองเท้ามีคุณภาพและความปลอดภัยสูงสุดสำหรับผู้ใช้งานในสภาพแวดล้อมการทำงานที่เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ โดยมาตรฐานเหล่านี้จะกำหนดข้อกำหนดและวิธีการทดสอบต่างๆ เพื่อประเมินความเหมาะสมของรองเท้าเซฟตี้ตามลักษณะงานที่ต้องปฏิบัติ ซึ่งมาตรฐานที่สำคัญ ได้แก่
- EN ISO 20345 (European Standard) เป็นมาตรฐานที่จัดทำโดยสมาคมมาตรฐานยุโรป ครอบคลุมข้อกำหนดและการทดสอบต่างๆ สำหรับรองเท้าเซฟตี้ที่ใช้ในสถานที่ทำงาน เช่น
- SB: มาตรฐานพื้นฐาน หัวเหล็กรับแรงกระแทก 200 จูล และรับแรงบีบ 15,000 นิวตัน
- S1: เพิ่มเติมจาก SB ด้วยการดูดซับแรงกดที่เท้า และต้านทานไฟฟ้าสถิตย์
- S2: เพิ่มเติมจากS1 ด้วยการป้องกันน้ำซึมเข้า
- S3: เพิ่มเติมจาก S2 ด้วยการป้องกันการเจาะทะลุ
- ASTM F2413 (American Standard) เป็นมาตรฐานของสมาคมวัสดุและทดสอบอเมริกา ซึ่งกำหนดข้อกำหนดและการทดสอบคุณสมบัติทางกลและเคมีสำหรับรองเท้าเซฟตี้ เช่น
- I/75 C/75: ทนกระแทก 75 ปอนด์ และทนแรงบีบ 75 ปอนด์
- EH: ทนทานไฟฟ้าถึง 600 โวลต์สำหรับสภาวะแหล่งกำเนิดไฟฟ้าแยกต่างหาก
- PR: ทนทานการแทงทะลุจากวัตถุแหลมคม
มาตรฐานเหล่านี้มีรายละเอียดที่อาจแตกต่างกันไปในแต่ละทวีปหรือประเทศ แต่จุดมุ่งหมายหลักคือการทดสอบว่ารองเท้าเซฟตี้มีระดับความปลอดภัยเพียงพอสำหรับการป้องกันอันตรายจากการทำงานหรือไม่ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้งานมั่นใจในคุณภาพและประสิทธิภาพของรองเท้าเซฟตี้
วิธีการเลือกรองเท้าเซฟตี้ให้เหมาะกับลักษณะงาน
การเลือกรองเท้าเซฟตี้ที่เหมาะสมกับลักษณะงานเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในการทำงาน ต่อไปนี้คือแนวทางในการเลือกรองเท้าเซฟตี้:
-
พิจารณาความเสี่ยงในสถานที่ทำงาน
- ประเมินอันตรายที่อาจเกิดขึ้น เช่น วัตถุตกใส่เท้า การลื่นล้ม หรือการสัมผัสสารเคมี
-
เลือกประเภทของรองเท้าเซฟตี้ตามลักษณะงาน
- งานก่อสร้าง: ควรเลือกรองเท้าที่มีหัวเหล็กและพื้นกันทะลุ
- งานไฟฟ้า: ใช้รองเท้าที่มีคุณสมบัติป้องกันไฟฟ้าสถิต
- งานในโรงงานเคมี: เลือกรองเท้าที่ทนต่อสารเคมี
-
ตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยของรองเท้าเซฟตี้
- เลือกรองเท้าที่ได้รับการรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรม เช่น ANSI หรือ CE
-
พิจารณาความสบายและการสวมใส่
- ทดลองสวมเพื่อให้แน่ใจว่าพอดีและสบายเท้า เพื่อสามารถสวมใส่เป็นเวลานานได้
- เลือกวัสดุที่ระบายอากาศได้ดีสำหรับงานที่ต้องยืนเป็นเวลานาน
-
พิจารณาคุณสมบัติพิเศษของรองเท้าแต่ละประเภท
- พื้นรองเท้ากันลื่นสำหรับพื้นที่เปียกหรือมีน้ำมัน
- รองเท้ากันน้ำสำหรับงานกลางแจ้ง
- รองเท้าน้ำหนักเบาสำหรับงานที่ต้องเคลื่อนไหวมาก
-
คำนึงถึงสภาพแวดล้อมการทำงาน
- อุณหภูมิ: เลือกรองเท้าที่เหมาะกับสภาพอากาศร้อนหรือเย็น
- พื้นผิว: พิจารณาลักษณะพื้นที่ทำงาน เช่น พื้นขรุขระหรือพื้นเรียบ
สรุป
รองเท้าเซฟตี้มีข้อดีหลายประการ ทั้งป้องกันการบาดเจ็บจากวัตถุหนัก ลดความเสี่ยงจากการลื่นล้ม ป้องกันสารเคมีอันตราย และช่วยลดความเมื่อยล้าเมื่อต้องยืนนาน นอกจากนี้ยังป้องกันไฟฟ้าดูดในงานที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้า และเพิ่มความมั่นใจในการทำงาน
การเลือกใช้รองเท้าเซฟตี้ควรเริ่มจากการวิเคราะห์ความเสี่ยงในสถานที่ทำงาน แล้วเลือกประเภทรองเท้าให้เหมาะกับลักษณะงาน ตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยที่รับรอง และพิจารณาความสบายในการสวมใส่ ควรเลือกคุณสมบัติพิเศษตามความจำเป็น เช่น กันน้ำหรือกันลื่น และคำนึงถึงสภาพแวดล้อมการทำงาน ทั้งอุณหภูมิและพื้นผิว สุดท้าย ควรทดลองสวมใส่ก่อนตัดสินใจซื้อ และอาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้รองเท้าที่เหมาะสมที่สุดสำหรับงานของคุณ
ตัวแทนจำหน่ายรองเท้าเซฟตี้ STUNT รองเท้าเซฟตี้มาตรฐาน S4 รองเท้าเซฟตี้หนังแท้ รองเท้าเซฟตี้ราคาถูก คุณภาพดีทนทาน เหมาะสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม