หมวกนิรภัย

หมวกนิรภัยหรือหมวกเซฟตี้เป็นอุปกรณ์ PPE ที่มีความสำคัญในการป้องกันบาดเจ็บบริเวณศีรษะ ในการทำงานในสถานที่หรือในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงต่ออันตรายต่อวัสดุหล่นจากที่สูง  เช่นในอุตสาหกรรมที่มีการใช้งานเครื่องจักร  ไซต์งานงานก่อสร้าง งานโรงงาน หรือโกดังเก็บสินค้า  เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานหรือผู้ที่ทำงานมีความปลอดภัยในการทำงาน ดังนั้นมีความจำเป็นที่จะใช้หมวกนิรภัยหรือหมวกเซฟตี้อย่างเหมาะสมและตามมาตรฐานที่กำหนดไว้

หมวกนิรภัยมักมีการออกแบบมาเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการกระแทก การตกหรือการกระแทกในขณะทำงาน สามารถช่วยป้องกันการบาดเจ็บหรือการเสียชีวิตที่อาจเกิดขึ้นจากการกระแทกหรือการชน เช่น การตกของวัตถุที่มีน้ำหนักมาก การกระแทกของเครื่องจักรหรือวัสดุที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว การสวมใส่หมวกนิรภัยทำให้สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้มากขึ้น

หมวกเซฟตี้ มาตรฐาน มอก.

หมวกเซฟตี้ มาตรฐาน ANSI

การเลือกใช้หรือสวมใส่หมวกเซฟตี้ที่เป็นมาตรฐานมีความสำคัญอย่างมาก เพราะมันจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าหมวกมีคุณสมบัติที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพในการป้องกันอันตรายตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ หมวกเซฟตี้มาตรฐานมอก. และ ANSI เป็นตัวกำหนดมาตรฐานสำหรับหมวกเซฟตี้ที่ได้รับการยอมรับในการใช้งานในสถานที่ทำงานและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก เมื่อเลือกใช้หรือสวมใส่หมวกเซฟตี้ที่มีมาตรฐาน จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าหมวกมีคุณสมบัติที่เหมาะสมและมีความปลอดภัยสำหรับการใช้งานในสถานที่ที่มีความเสี่ยงต่ออันตรายได้อย่างเหมาะสม
หมวกเซฟตี้ เป็นอุปกรณ์ป้องกันที่มีมาตรฐาน ANSI หรือ หมวกนิรภัยมาตรฐาน มอก. ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันศีรษะจากการกระแทก
หรือวัสดุตกใส่ ผลิตด้วยวัสดุทนทานที่ทำให้รับแรงกระแทกได้ดี การใส่หมวกเซฟตี้ช่วยลดความเสี่ยงของบาดเจ็บศีรษะในสภาพที่อาจ
มีความเสี่ยงจากอันตรายวัสดุตกจากที่สูงเพื่อความปลอดภัยในการทำงาน

คำถามที่พบบ่อย Q&A

ถาม : หมวกเซฟตี้ที่ระบุ Class ต่างๆคืออะไร มีอะไรบ้าง

ตอบ : หมวกเซฟตี้มีการจัดระเบียบตาม Class ต่าง ๆ ซึ่ง Class ต่างๆเหล่านี้จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกหมวกที่เหมาะสมกับงานและสถานการณ์การทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ มี Class หลัก ๆ ดังนี้:

1. Class E (Electrical): ออกแบบมาเพื่อป้องกันไฟฟ้าช็อต มักใช้ในงานที่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสกับไฟฟ้า เช่น ในโรงงานผลิตไฟฟ้า เสาไฟฟ้าแรงสูง และการทำงานในพื้นที่ที่มีสายไฟฟ้าวิ่งผ่าน
2. Class G (General): ใช้สำหรับงานทั่วไป ไม่มีการป้องกันการช็อตของไฟฟ้า แต่สามารถป้องกันอันตรายจากการกระแทกหรือการตกได้ เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไปในโรงงานหรืองานก่อสร้างทั่วไป
3. Class C (Conductive): ออกแบบมาเพื่อป้องกันไฟฟ้าช็อตและการกระแทกแบบที่มีโอกาสเกิดขึ้นบ่อย โดยสามารถนำไปใช้ในสภาพแวดล้อมที่มีการสัมผัสกับวัสดุที่นำไฟฟ้าได้ เช่น การทำงานในสถานที่ที่มีสายไฟฟ้าหรือเครื่องจักรที่ทำงานอยู่
4. Class D (Dielectric): ออกแบบมาเพื่อป้องกันไฟฟ้าช็อต แต่ไม่มีการป้องกันการกระแทก สามารถใช้ในงานที่มีความเสี่ยงต่อการสัมผัสกับไฟฟ้าและมีการเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว เช่น การทำงานในโรงงานที่มีเครื่องจักรที่ทำงานอยู่

การเลือกใช้ Class ของหมวกเซฟตี้นี้มีความสำคัญเนื่องจากมันจะช่วยให้มั่นใจในความปลอดภัยว่าหมวกมีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับลักษณะงาน จะช่วยลดความเสี่ยงต่ออันตรายและเพิ่มความปลอดภัยให้มากที่สุดในการทำงาน

ถาม : หมวกนิรภัยแต่ละสีมีความหมายหรือไม่
ตอบ : สีของหมวกนิรภัยไม่ได้มีกฏกหมายบังคับ แต่จะเป็นในลักษณะธรรมเนียมปฏิบัติ ซึ่งมักนิยมใช้กันซึ่งหมวกแต่ละสี มักจะแบ่งหน้าที่ต่างๆดังนี้

หมวกสีขาว : ผู้ที่มีอำนาจสั่งการและมีความรับผิดชอบ เช่น ผู้จัดการ หัวหน้าแผนก หัวหน้าคนงาน วิศวกร

หมวกสีเหลือง : ผู้ที่ปฏิบัติงาน หรือคนงานทั่วไป ซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานโดยตรง

หมวกสีน้ำเงิน : เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน หรือเจ้าหน้าที่ด้านเทคนิค

หมวกสีเขียว : ผู้ที่เกี่ยวของกับความปลอดภัย เจ้าหน้าที่ความปลอดภัย จป.วิชาชีพ เจ้าหน้าที่ด้านสิ่งแวดล้อม

หมวกสีส้ม : ผู้ที่เกี่ยวของกับเครื่องจักร เจ้าหน้าที่กู้ภัย

หมวกสีแดง : เจ้าหน้าที่เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น เจ้าหน้าที่ดับเพลิง