บทความด้านความปลอดภัย

การเลือกใช้อุปกรณ์ครอบหูลดเสียงเพื่อความปลอดภัยในการทำงาน

การป้องกันการได้ยินในสถานที่ทำงานเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่ที่มีเสียงดัง การสัมผัสเสียงดังเป็นเวลานานอาจส่งผลให้เกิดการสูญเสียการได้ยินแบบถาวรได้ บทความนี้จะกล่าวถึงความสำคัญของการป้องกันการได้ยิน ประเภทของอุปกรณ์ลดเสียง และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

การสัมผัสเสียงดังในระดับที่เกิน 85 เดซิเบล (dB) เป็นเวลานานสามารถทำให้เกิดอันตรายต่อการได้ยินได้ โดยความเสียหายอาจเกิดขึ้นได้ทั้งแบบชั่วคราวและถาวร ในระยะสั้นอาจทำให้เกิดอาการหูอื้อ การได้ยินลดลงชั่วคราว ปวดหูและรู้สึกไม่สบาย รวมถึงมีเสียงรบกวนในหู ส่วนผลกระทบระยะยาวที่อาจเกิดขึ้นได้แก่ การสูญเสียการได้ยินแบบถาวร โรคประสาทหูเสื่อม ความเครียดและความวิตกกังวล ปัญหาการนอนหลับ และผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน

ความปลอดภัยของการได้ยินและผลกระทบจากเสียงดัง

การสัมผัสเสียงดังในระดับที่เกิน 85 เดซิเบล (dB) เป็นเวลานานสามารถทำให้เกิดอันตรายต่อการได้ยินได้ โดยความเสียหายอาจเกิดขึ้นได้ทั้งแบบชั่วคราวและถาวร ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นมีดังนี้:

ผลกระทบระยะสั้น

  • เกิดอาการหูอื้อหลังจากสัมผัสเสียงดัง
  • การได้ยินลดลงชั่วคราว
  • ปวดหูและรู้สึกไม่สบาย
  • มีเสียงรบกวนในหู (เสียงหึ่ง)

ผลกระทบระยะยาว

  • สูญเสียการได้ยินแบบถาวร
  • โรคประสาทหูเสื่อม
  • ความเครียดและความวิตกกังวล
  • ปัญหาการนอนหลับ
  • ผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน

ประเภทของอุปกรณ์ป้องกันเสียง

อุปกรณ์ป้องกันเสียงมีหลากหลายประเภท แต่ละประเภทมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกัน:

1. ที่ครอบหูลดเสียง (Earmuffs)

  • เป็นอุปกรณ์ที่ครอบทั้งใบหูด้วยวัสดุที่มีคุณสมบัติในการลดเสียง
  • สามารถลดเสียงได้ 20-30 เดซิเบล
  • ข้อดี:
    • สวมใส่และถอดได้ง่าย
    • ใช้งานได้กับคนส่วนใหญ่
    • ทนทานและใช้งานได้นาน
  • ข้อจำกัด:
    • อาจรู้สึกร้อนเมื่อใช้งานนาน
    • อาจไม่เหมาะกับการใช้งานร่วมกับแว่นตานิรภัย

2. ที่อุดหู (Earplugs)

 

  • เป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กที่สอดเข้าไปในรูหู
  • สามารถลดเสียงได้ 15-30 เดซิเบล
  • มีทั้งแบบใช้ครั้งเดียวและแบบใช้ซ้ำ
  • ข้อดี:
    • สะดวกพกพา
    • ราคาประหยัด
    • เหมาะสำหรับใช้ร่วมกับอุปกรณ์ป้องกันอื่นๆ
  • ข้อจำกัด:
    • ต้องระมัดระวังเรื่องความสะอาด
    • อาจใส่ไม่พอดีทำให้ประสิทธิภาพลดลง

 

กฎหมายคุ้มครองแรงงานเกี่ยวกับเสียง

ประเทศไทยมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันอันตรายจากเสียงในสถานประกอบการ ดังนี้:

กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐานในการบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานเกี่ยวกับความร้อน แสงสว่าง และเสียง พ.ศ. 2559

  1. ระดับเสียงที่ยอมให้ลูกจ้างได้รับตลอดเวลาการทำงานในแต่ละวัน
  • ไม่เกิน 85 เดซิเบลเอ สำหรับการทำงาน 8 ชั่วโมง
  • หากระดับเสียงเกินมาตรฐาน นายจ้างต้องจัดให้มีการป้องกัน
  1. หน้าที่ของนายจ้าง
  • จัดให้มีการตรวจวัดระดับเสียงในสถานประกอบการ
  • จัดทำรายงานการตรวจวัดและประเมินผล
  • จัดหาอุปกรณ์ป้องกันเสียงที่เหมาะสม
  • จัดให้มีการฝึกอบรมการใช้อุปกรณ์

คำแนะนำในการเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันเสียง

  1. พิจารณาระดับเสียงในพื้นที่ทำงาน
  • ตรวจสอบระดับเสียงและระยะเวลาการสัมผัส
  • เลือกอุปกรณ์ที่มีค่าการลดเสียงเพียงพอ
  1. คำนึงถึงความสะดวกในการใช้งาน
  • เลือกอุปกรณ์ที่สวมใส่สบาย
  • พิจารณาสภาพแวดล้อมการทำงาน
  • คำนึงถึงการใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ป้องกันอื่นๆ
  1. การดูแลรักษา
  • ทำความสะอาดอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ
  • ตรวจสอบสภาพและเปลี่ยนเมื่อชำรุด
  • จัดเก็บในที่เหมาะสม’

สรุป

การป้องกันการได้ยินเป็นเรื่องสำคัญที่ทั้งนายจ้างและลูกจ้างต้องให้ความใส่ใจ การเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันเสียงที่เหมาะสมและการปฏิบัติตามกฎหมายจะช่วยป้องกันการสูญเสียการได้ยินและรักษาคุณภาพชีวิตการทำงานที่ดีในระยะยาว  ในการเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันเสียง ควรพิจารณาระดับเสียงในพื้นที่ทำงานและระยะเวลาการสัมผัส เพื่อเลือกอุปกรณ์ที่มีค่าการลดเสียงเพียงพอ ควรเลือกอุปกรณ์ที่สวมใส่สบายและเหมาะกับสภาพการทำงาน รวมถึงต้องดูแลรักษาอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ ทำความสะอาด ตรวจสอบสภาพ และเปลี่ยนเมื่อชำรุด

การป้องกันการได้ยินเป็นเรื่องสำคัญที่ทั้งนายจ้างและลูกจ้างต้องให้ความใส่ใจ การเลือกใช้อุปกรณ์ป้องกันเสียงที่เหมาะสมและการปฏิบัติตามกฎหมายจะช่วยป้องกันการสูญเสียการได้ยินและรักษาคุณภาพชีวิตการทำงานที่ดีในระยะยาว