บทความด้านความปลอดภัย

ประเภทของป้ายเตือนและป้ายไฟฉุกเฉิน

ป้ายเตือนและป้ายไฟฉุกเฉินเป็นสิ่งสำคัญในด้านความปลอดภัย ซึ่งช่วยให้บุคคลในอาคารหรือสถานที่ต่างๆ สามารถระมัดระวังและดำเนินการอย่างถูกต้องในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น ไฟไหม้ หรือภัยพิบัติอื่นๆ โดยมีการกำหนดมาตรฐานต่างๆ สำหรับป้ายเหล่านี้ในกฎหมายและมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

  1. ป้ายเตือน (Safety Warning Signs)

ป้ายเตือนมีหน้าที่ในการแจ้งเตือนอันตรายต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในสถานที่ทำงานหรือในอาคาร เช่น สารเคมีอันตราย, เครื่องจักรที่มีความเสี่ยง, หรือการห้ามปฏิบัติบางอย่างเพื่อความปลอดภัย

  1. ป้ายทางออกฉุกเฉิน (Exit Signs)

ป้ายทางออกฉุกเฉินมีหน้าที่ชี้แนะทางออกที่ปลอดภัยในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น ไฟไหม้ หรือเหตุการณ์ที่อาจต้องการการหลบหนี

  1. ป้ายไฟฉุกเฉิน (Emergency Lighting Signs)

ป้ายไฟฉุกเฉินใช้สำหรับช่วยนำทางในกรณีไฟฟ้าดับหรือสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความจำเป็นต้องใช้ไฟฉุกเฉินในการเคลื่อนย้ายบุคคล

  1. การติดตั้งและข้อกำหนดอื่นๆ
  • การติดตั้ง: ป้ายเตือนและป้ายไฟฉุกเฉินต้องติดตั้งในตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจนจากทุกทิศทาง เช่น ทางเดินหลัก, บริเวณบันไดหนีไฟ, หรือห้องที่มีความเสี่ยง
  • ความสูง: ป้ายเตือนและป้ายไฟฉุกเฉินควรติดตั้งที่ความสูงประมาณ 2.50 เมตร จากพื้น
  • ทิศทางการมองเห็น: ป้ายควรติดตั้งในตำแหน่งที่สามารถเห็นได้จากทุกทิศทาง โดยเฉพาะในกรณีฉุกเฉินที่ผู้คนอาจตกใจหรือมีความสับสน
  1. การบำรุงรักษา
  • ป้ายเตือนและไฟฉุกเฉินต้องได้รับการบำรุงรักษาและตรวจสอบเป็นประจำ เพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์และป้ายทำงานได้อย่างถูกต้องในกรณีฉุกเฉิน
  • มีการทดสอบไฟฉุกเฉินอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้สามารถทำงานได้ตามข้อกำหนดทางกฎหมาย

 

ข้อกำหนดเกี่ยวกับป้ายเตือนและไฟฉุกเฉิน ในประเทศไทยมักจะมีการระบุใน กฎหมายความปลอดภัยอาชีวอนามัย รวมถึงมาตรฐานต่าง ๆ ของการป้องกันอัคคีภัย เช่น มาตรฐานการป้องกันอัคคีภัยของการไฟฟ้านครหลวง (MEPS) หรือ กฎกระทรวงกำหนดมาตรการความปลอดภัยในอาคาร ซึ่งมีข้อกำหนดหลักๆ ดังนี้:

  1. ป้ายเตือน (Safety Signage)
  • ลักษณะของป้ายเตือน: ป้ายต้องมีลักษณะที่ชัดเจน ใช้สีที่สะดุดตา เช่น สีเขียวสำหรับป้ายบอกทางออกหรือป้ายชี้ตำแหน่งอุปกรณ์ดับเพลิง, สีแดงสำหรับป้ายเตือนอันตราย, สีเหลืองสำหรับป้ายที่ให้คำแนะนำในการระวังอันตราย
  • การติดตั้ง: ต้องติดตั้งในที่ที่มองเห็นได้ชัดเจน เช่น ทางเดินหลัก หรือจุดสำคัญที่อาจเกิดอุบัติเหตุได้ เช่น ใกล้ทางออก หรือบริเวณที่มีการใช้สารเคมี
  • ข้อความที่ชัดเจน: ข้อความหรือสัญลักษณ์บนป้ายต้องเข้าใจง่ายและชัดเจน เช่น ป้ายทางออกฉุกเฉิน, ป้ายห้ามสูบบุหรี่, ป้ายอุปกรณ์ดับเพลิง
  1. ไฟฉุกเฉิน (Emergency Lighting)
  • การติดตั้ง: ไฟฉุกเฉินต้องติดตั้งในจุดที่สำคัญ เช่น ทางเดิน, ทางออกฉุกเฉิน, ห้องที่มีอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือเครื่องจักรที่อาจเกิดอุบัติเหตุ
  • ความสว่าง: ไฟฉุกเฉินต้องมีความสว่างเพียงพอเพื่อให้ผู้คนสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างปลอดภัยในกรณีไฟฟ้าดับ
  • อายุการใช้งาน: ไฟฉุกเฉินต้องมีระบบสำรองพลังงานที่สามารถใช้งานได้ในช่วงเวลาที่ไฟฟ้าหลักขัดข้อง โดยมักจะต้องสามารถใช้งานต่อเนื่องได้ไม่น้อยกว่า 1-2 ชั่วโมง
  • การทดสอบ: ต้องมีการทดสอบไฟฉุกเฉินอย่างสม่ำเสมอ โดยมักจะมีการทดสอบทุกเดือนเพื่อให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ทำงานได้อย่างถูกต้อง
  1. มาตรการเพิ่มเติม
  • การฝึกอบรม: บุคคลในอาคารหรือสถานประกอบการต้องได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับการใช้ป้ายเตือนและการใช้ไฟฉุกเฉินในกรณีฉุกเฉิน
  • การตรวจสอบ: ต้องมีการตรวจสอบอุปกรณ์ทั้งหมดเป็นประจำเพื่อให้มั่นใจว่าอุปกรณ์เหล่านั้นสามารถใช้งานได้ในกรณีฉุกเฉิน

ทั้งหมดนี้เป็นข้อกำหนดพื้นฐานในประเทศไทยสำหรับการติดตั้งป้ายเตือนและไฟฉุกเฉินที่มีความสำคัญต่อความปลอดภัยของบุคคลในสถานที่ต่าง ๆ ในกรณีเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือภัยพิบัติ

 

ขนาดของป้ายตามที่กฎหมายกำหนด ในประเทศไทยนั้นจะถูกระบุไว้ใน มาตรฐานการป้องกันอัคคีภัย (Fire Safety Code) รวมถึง กฎกระทรวงกำหนดมาตรการความปลอดภัยในอาคาร ซึ่งมักจะมีข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับขนาดและลักษณะของป้ายเตือนและป้ายไฟฉุกเฉินต่างๆ ในการใช้งาน ดังนี้:

  1. ป้ายทางออกฉุกเฉิน (Exit Signs)

ตาม กฎกระทรวงฉบับที่ 84/2555 ซึ่งกำหนดมาตรการด้านความปลอดภัยในการป้องกันอัคคีภัย มีข้อกำหนดในเรื่องของป้ายทางออกฉุกเฉินที่ระบุไว้ชัดเจน ดังนี้:

  • ขนาดป้ายทางออกฉุกเฉิน: ขนาดขั้นต่ำของป้ายทางออกฉุกเฉินที่ต้องการให้มองเห็นได้ชัดเจนในกรณีไฟฟ้าดับนั้นจะต้องมีขนาดไม่ต่ำกว่า 30 x 50 เซนติเมตร
  • ป้ายต้องติดตั้งในตำแหน่งที่มองเห็นได้จากระยะไกล เช่น บริเวณทางเดินหรือบันไดหนีไฟ
  • ขนาดของตัวอักษร: ขนาดของตัวอักษรในป้ายทางออกฉุกเฉินต้องมีความสูงอย่างน้อย 6 เซนติเมตร สำหรับการมองเห็นในระยะห่างประมาณ 10 เมตร
  1. ป้ายไฟฉุกเฉิน (Emergency Lighting Signs)

สำหรับป้ายที่ใช้แสดงสถานที่ของไฟฉุกเฉินและช่วยในการชี้ทางออกในกรณีที่ไฟฟ้าดับ:

  • ขนาดของป้ายไฟฉุกเฉิน: ขนาดขั้นต่ำที่กำหนดไว้จะต้องมีขนาด 30 x 50 เซนติเมตร ซึ่งต้องเห็นได้ชัดเจนแม้ในสภาพแสงน้อย
  1. ป้ายเตือนความปลอดภัยทั่วไป

สำหรับป้ายเตือนความปลอดภัยอื่นๆ ที่อาจมีในสถานที่ทำงานหรือสถานประกอบการ เช่น ป้ายห้ามสูบบุหรี่, ป้ายเตือนสารเคมีอันตราย ฯลฯ

  • ขนาดป้ายเหล่านี้จะต้องมีขนาดที่เหมาะสมกับพื้นที่การใช้งาน ซึ่งส่วนใหญ่จะต้องไม่ต่ำกว่า 15 x 20 เซนติเมตร หรือขนาดที่ใหญ่กว่านั้นเพื่อให้เห็นได้ชัดเจนจากระยะไกล
  1. ขนาดของป้ายสัญลักษณ์อันตราย

สำหรับสัญลักษณ์เตือนอันตราย เช่น สัญลักษณ์อันตรายจากไฟฟ้า, สัญลักษณ์สารเคมีอันตราย ฯลฯ:

  • ป้ายสัญลักษณ์เหล่านี้มักจะมีขนาดมาตรฐาน 20 x 20 เซนติเมตร หรือ 30 x 30 เซนติเมตร ขึ้นอยู่กับความสำคัญและบริเวณที่ติดตั้ง
  • ขนาดของตัวอักษรในป้ายเตือนควรมีความสูง ไม่น้อยกว่า 5 เซนติเมตร เพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจนจากระยะ 5 เมตร
  1. การติดตั้งป้าย
  • ตำแหน่งการติดตั้ง: ป้ายเตือนและป้ายทางออกฉุกเฉินต้องติดตั้งในตำแหน่งที่มองเห็นได้จากทุกทิศทาง เช่น บริเวณทางเดินหลัก, ทางบันไดฉุกเฉิน, และห้องที่อาจมีอันตรายจากสารเคมีหรือไฟฟ้า
  • ความสูงจากพื้น: ป้ายควรติดตั้งที่ความสูงไม่ต่ำกว่า 2.50 เมตร จากพื้นเพื่อให้มองเห็นได้อย่างชัดเจน
  1. การทดสอบและตรวจสอบ
  • กฎหมายกำหนดให้มีการทดสอบป้ายไฟฉุกเฉินและอุปกรณ์ดับเพลิงอย่างสม่ำเสมอ โดยป้ายไฟฉุกเฉินต้องสามารถให้แสงสว่างต่อเนื่องอย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง เมื่อไฟฟ้าหลักดับ

สรุปขนาดตามที่กฎหมายกำหนด:

  • ป้ายทางออกฉุกเฉิน: ขนาดขั้นต่ำ 30 x 50 เซนติเมตร
  • ป้ายไฟฉุกเฉิน: ขนาดขั้นต่ำ 30 x 50 เซนติเมตร
  • ป้ายเตือนอันตรายทั่วไป: ขนาดขั้นต่ำ 15 x 20 เซนติเมตร
  • ป้ายสัญลักษณ์อันตราย: ขนาดมาตรฐาน 20 x 20 เซนติเมตร หรือ 30 x 30 เซนติเมตร
  • ตัวอักษร: ความสูงไม่น้อยกว่า 6 เซนติเมตรในกรณีป้ายทางออกฉุกเฉิน

ข้อกำหนดเหล่านี้เป็นการรับรองว่าในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน ป้ายจะช่วยให้บุคคลในอาคารหรือสถานที่ต่างๆ สามารถเห็นและเข้าใจได้ง่ายในการเคลื่อนย้ายหรือดำเนินการตามขั้นตอนการดับเพลิงหรือหลบหนีออกจากอาคารได้ทันที