ไฟฉายเซฟตี้ (Safety Flashlight) เป็นไฟฉายที่ออกแบบมาให้ใช้งานในสภาวะหรือสภาพแวดล้อมที่อาจมีอันตราย จึงต้องมีความทนทานและแข็งแรงกว่าไฟฉายทั่วไป รวมถึงความปลอดภัยที่มากกว่า
คุณสมบัติที่สำคัญของไฟฉายเซฟตี้
-
โครงสร้างแข็งแรงทนทาน
– ทำจากวัสดุพิเศษเกรดอุตสาหกรรม เช่น อลูมิเนียม เหล็กกล้าไร้สนิม พลาสติกเอนจิเนียริง สามารถทนแรงกระแทก การตก การกระทบกระเทือนได้ดี
-
กันน้ำและกันฝุ่นได้ดี
– มีระดับกันน้ำมาตรฐาน IP65 ขึ้นไป สามารถจุ่มน้ำลึกได้ชั่วคราว
– ตัวเรือนปิดสนิท ป้องกันฝุ่นและสิ่งสกปรกเข้าไปได้
-
ใช้งานในสภาวะอุณหภูมิสูงหรือต่ำได้
– วัสดุทนความร้อนหรือความเย็นจัด เหมาะสำหรับงานในพื้นที่อุณหภูมิรุนแรง
-
แสงสว่างแรงและทรงพลังพิเศษ
– มีก้านแอลอีดีความเข้มสูง ส่องสว่างไกลถึงหลายร้อยเมตรได้
– ตัวเรือนทำจากอลูมิเนียมเป็นตัวระบายความร้อน
– บางรุ่นมีโหมดแสงวับวาบเตือนภัย
-
ใช้งานต่อเนื่องได้นาน
– ใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ หรือสามารถเปลี่ยนถ่านได้
– บางรุ่นสามารถต่อพ่วงกับแหล่งจ่ายไฟภายนอก
-
มีด้ามจับพิเศษสำหรับการใช้งาน
– มีปุ่มกดใช้งานขนาดใหญ่ รองรับการใส่ถุงมือได้
– มีสายรัดข้อมือป้องกันการร่วงหล่น
ไฟฉายเซฟตี้จึงเหมาะสำหรับการทำงานในสภาพแวดล้อมเสี่ยงอันตรายต่างๆ ช่วยให้สามารถมองเห็นได้ชัดเจนและปลอดภัยในการปฏิบัติงาน
ค่าความสว่าง เป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกใช้ไฟฉายเซฟตี้ โดยทั่วไปค่าความสว่างของไฟฉายจะแสดงในหน่วย ลูเมน (Lumen) ซึ่งบอกถึงปริมาณการแผ่รังสีของแสงที่ออกมาจากหลอดไฟ
ค่าความสว่าง (Lumen) ที่นิยมใช้งาน
มีดังนี้
- 100-200 ลูเมน เหมาะสำหรับใช้งานทั่วไปไม่หนักมาก เช่น ตรวจสอบบริเวณแคบๆ ส่องสว่างระยะใกล้
- 300-500 ลูเมน เหมาะสำหรับใช้งานนอกอาคาร ส่องสว่างระยะปานกลาง เช่น ตรวจสอบเครื่องจักร พื้นที่ก่อสร้าง
- 600-1,000 ลูเมน เป็นระดับความสว่างที่เหมาะสำหรับงานหนัก เช่น งานค้นหาและกู้ภัย ตรวจสอบในบริเวณกว้าง
- 1,000 ลูเมนขึ้นไป ถือเป็นระดับความสว่างสูงมาก สำหรับใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน เหตุการณ์รุนแรง หรือส่องสว่างไกลมาก
นอกจากค่าความสว่างแล้ว ยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น ประเภทของดวงไฟ LED ถ่าน/แบตเตอรี่ที่ใช้ โหมดการส่องสว่าง น้ำหนัก ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของไฟฉายเซฟตี้ด้วย ควรเลือกให้เหมาะสมกับลักษณะงานและงบประมาณ
ในการจำแนกประเภทไฟฉายเซฟตี้กันระเบิด มีการแบ่งออกเป็น Class (คลาส) และ Division (ดิวิชั่น) ดังนี้
Class
– Class I – สำหรับใช้ในพื้นที่มีก๊าซหรือไอระเหยของของเหลวติดไฟได้
– Class II – สำหรับใช้ในพื้นที่มีฝุ่นละออง เศษวัสดุติดไฟได้
– Class III – สำหรับใช้ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงจากทั้งก๊าซ/ไอระเหย และฝุ่นละออง
Division
– Division 1 – สำหรับใช้ในบริเวณที่มีสภาพแวดล้อมอันตรายอยู่ตลอดเวลาหรือเกิดขึ้นบ่อยครั้ง
– Division 2 – สำหรับใช้ในบริเวณที่มีโอกาสเกิดสภาพแวดล้อมอันตรายในบางโอกาส แต่ไม่บ่อยนัก
ยกตัวอย่างเช่น
– Class I Division 1 – ไฟฉายสำหรับใช้ในพื้นที่มีก๊าซหรือไอระเหยอยู่ตลอดเวลา เช่น โรงกลั่นน้ำมัน
– Class II Division 2 – ไฟฉายสำหรับใช้ในโรงงานผลิตเม็ดพลาสติก ที่อาจมีฝุ่นละอองติดไฟได้บางครั้ง
การแบ่งประเภทนี้ช่วยให้เลือกใช้ไฟฉายได้ตรงตามระดับความเสี่ยงในการทำงาน เพื่อความปลอดภัยสูงสุด โดยต้องผ่านการรับรองมาตรฐานตามข้อกำหนดของหน่วยงานกำกับดูแล