อุปกรณ์เซฟตี้ คืออะไร

อุปกรณ์เซฟตี้ คืออุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มความปลอดภัยในการทำงานของผู้ใช้งานที่มีความเสี่ยงในขณะปฏิบัติงาน โดยมักจะมีข้อบังคับตามกฏหมายความปลอดภัย ให้ใช้อุปกรณ์เซฟตี้ต่างๆ เพื่อความปลอดภัยของพนักงาน เช่นอุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล หมวกเซฟตี้ แว่นตาเซฟตี้ รองเท้าเซฟตี้ ที่พนักงานจำเป็นต้องสวมใส่ หรือป้องกันจากความประมาท โดยทำเป็นระบบงาน เช่นอุปกรณ์ Lockout Tagout ขณะซ่อมบำรุงและจะครอบคลุมถึงความปลอดภัยของสิ่งแวดล้อมด้วย เช่นการป้องกันไม่ให้สารเคมีรั่วไหลไปสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ เป็นต้น

อุปกรณ์ PPE คืออะไร

อุปกรณ์ PPE หมายถึง “Personal Protective Equipment” หรือ “อุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล” ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันหรือลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อผู้ใช้ในสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงต่อสุขภาพหรือความปลอดภัย ซึ่งอาจรวมถึงอุปกรณ์ที่ใส่หรือใช้บนร่างกายผู้ปฏิบัติงาน เช่น ชุดป้องกันสารเคมี, หมวกเซฟตี้, แว่นตาเซฟตี้, หน้ากากกันสารเคมี, ถุงมือ, รองเท้าเซฟตี้ และอื่นๆ ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันการสัมผัส, การได้รับอันตรายจากสารเคมี, การบาดหรือการเฉือน ความร้อนและไฟฟ้าดูด หรืออุบัติเหตุอื่นๆที่อาจเกิดขึ้นในสถานที่ทำงานหรือสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อความปลอดภัยและสุขภาพของบุคคลใดๆ

การใช้อุปกรณ์ PPE มีความสำคัญเพราะมันช่วยลดคการบาดเจ็บของผู้ปฏิบัติงาน หรืออันตรายอื่นๆที่อาจเกิดขึ้นในการทำงานหรือกิจกรรมที่เสี่ยงต่อความปลอดภัย การใช้อุปกรณ์ PPE ต้องใช้อุปกรณ์เซฟตี้ที่มีมาตรฐานและวิธีใช้งานที่ถูกต้อง ต้องมีการอบรมให้ผู้ใช้ทราบถึงวิธีการใช้และดูแลรักษาอุปกรณ์ PPE อย่างถูกต้อง เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการป้องกันความอันตรายจากการปฏิบัติงาน

ทำไมเราจึงต้องเลือกใช้อุปกรณ์เซฟตี้ที่มีคุณภาพและมาตรฐานรับรอง

อุปกรณ์เซฟตี้ที่มีมาตรฐานสามารถช่วยเหลือผู้ทำงานในหลายด้านได้อย่างมีนัยสำคัญ การใช้อุปกรณ์ที่ได้มาตรฐานมีผลต่อความปลอดภัยและประสิทธิภาพในสถานที่ทำงาน ให้ผลการผลิตเพิ่มสูงขึ้นอุปกรณ์ที่ผ่านการทดสอบและรับรองมักมีการออกแบบให้เหมาะสมกับการใช้งานและมีประสิทธิภาพที่ดี โดยจะแบ่งเป็นหัวข้อได้ดังนี้

เพิ่มความปลอดภัยในการทำงาน

การใช้อุปกรณ์ที่ผ่านมาตรฐานช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุและบาดเจ็บในที่ทำงาน ซึ่งหมายถึงความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงาน

เพิ่มประสิทธิภาพของการทำงาน

ต่อเนื่องจากความปลอดภัยในการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน เมื่อไม่มีการบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุเกิดขึ้น ส่งผลให้พนักงานสามารถทำงานได้ต่อเนื่อง โดยไม่มีการหยุดชะงัก ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงาน

ลดความเหนื่อยล้าและส่งผลดีต่อสุขภาพ

อุปกรณ์เซฟตี้ที่มีมาตรฐานนอกจากจะช่วยลดการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุแล้ว ยังมีส่วนช่วยลดความเหนื่อยล้าจากการทำงาน เช่นถุงมือนิรภัยช่วยให้หยิบจับชิ้นงานได้กระชับ ช่วยให้ทำงานถนัดมากขึ้น หรือเช่นหน้ากากป้องกันสารเคมี ช่วยป้องกันการสูดดมสารเคมีอันตรายเข้าสู่ร่างกายที่จะส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาว

การจัดการและการเก็บรักษาอุปกรณ์เซฟตี้: เคล็ดลับเพื่อยืดอายุการใช้งานและรักษาประสิทธิภาพ

อุปกรณ์เซฟตี้ หรืออุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) เป็นเครื่องมือที่จำเป็นสำหรับการป้องกันอันตรายจากการทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยง การจัดการและการเก็บรักษา PPE อย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์และรักษาประสิทธิภาพในการป้องกันอันตรายต่างๆ ในบทความนี้ เราจะมาแนะนำวิธีการเก็บรักษาและบำรุงรักษา PPE เพื่อให้ใช้งานได้อย่างยาวนานและปลอดภัย

ความสำคัญของการจัดการและการเก็บรักษา PPE

การดูแลรักษาและเก็บรักษาอุปกรณ์เซฟตี้ที่ถูกต้องไม่เพียงแต่ช่วยยืดอายุการใช้งานของอุปกรณ์ แต่ยังช่วยให้การป้องกันที่มีประสิทธิภาพเมื่อใช้งานจริง การใช้ PPE ที่ชำรุดหรือหมดสภาพอาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุหรือการบาดเจ็บได้อย่างมาก การจัดเก็บและบำรุงรักษาที่ถูกต้องจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ผู้ใช้งานควรใส่ใจ

วิธีการจัดการและเก็บรักษา PPE ที่ถูกต้อง

1. การเก็บรักษาในสถานที่ที่เหมาะสม

  • เก็บในที่แห้งและเย็น: ควรเก็บ PPE ในสถานที่ที่แห้งและเย็น หลีกเลี่ยงการเก็บในที่ที่มีความชื้นสูงหรือมีอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น โรงเก็บกลางแจ้ง เพราะอาจทำให้อุปกรณ์เสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น
  • หลีกเลี่ยงแสงแดดโดยตรง: การเก็บ PPE ให้พ้นจากแสงแดดโดยตรงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะวัสดุที่ทำจากยางหรือพลาสติก ซึ่งอาจเสื่อมสภาพเร็วเมื่อโดนรังสี UV

2. การตรวจสอบและบำรุงรักษา PPE อย่างสม่ำเสมอ

  • การตรวจสอบสภาพก่อนใช้งาน: ควรตรวจสอบ PPE ทุกครั้งก่อนการใช้งานว่ามีรอยแตกร้าวหรือเสียหายหรือไม่ เช่น หมวกนิรภัยควรไม่มีรอยแตกร้าว และหน้ากากกรองอากาศควรไม่มีรอยรั่ว
  • การทำความสะอาดหลังการใช้งาน: PPE ควรทำความสะอาดหลังการใช้งานเพื่อป้องกันการสะสมของสิ่งสกปรก เชื้อโรค หรือสารเคมี ซึ่งอาจทำให้อุปกรณ์เสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น โดยใช้น้ำยาทำความสะอาดที่เหมาะสมและไม่ทำลายวัสดุของ PPE

3. การเก็บรักษาอุปกรณ์เฉพาะประเภท

  • หมวกนิรภัย: ควรเก็บหมวกนิรภัยไว้ในที่สะอาดและแห้ง หลีกเลี่ยงการวางหมวกไว้ในที่ที่อาจได้รับแรงกดหรือกระแทก เพราะอาจทำให้เกิดรอยแตกร้าวที่มองไม่เห็นได้
  • ถุงมือป้องกันสารเคมี: ถุงมือที่ใช้ในการป้องกันสารเคมีควรทำความสะอาดทันทีหลังใช้งานและเก็บในที่แห้ง ไม่ควรพับหรือบิดถุงมือเพราะอาจทำให้วัสดุเสื่อมสภาพ
  • หน้ากากกรองอากาศ: ควรเก็บหน้ากากในถุงหรือกล่องที่ปิดมิดชิดเพื่อป้องกันการสัมผัสกับฝุ่นละอองหรือความชื้นที่อาจทำให้ไส้กรองเสื่อมสภาพ

การอบรมการจัดการและเก็บรักษา PPE

การอบรมและให้ความรู้แก่ผู้ใช้งานเกี่ยวกับการจัดการและการเก็บรักษา PPE เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ผู้ใช้งานเข้าใจถึงความสำคัญของการดูแลอุปกรณ์ให้มีสภาพพร้อมใช้งาน การฝึกอบรมควรครอบคลุมถึงวิธีการตรวจสอบอุปกรณ์ วิธีการทำความสะอาด และการจัดเก็บในสถานที่ที่เหมาะสม

การบำรุงดูแลรักษาอุปกรณ์เซฟตี้ให้พร้อมใช้งาน

อุปกรณ์เซฟตี้หรืออุปกรณ์ป้องกันภัยส่วนบุคคล (Personal Protective Equipment – PPE) เป็นด่านสำคัญในการป้องกันอันตรายและอุบัติเหตุในการทำงาน การดูแลรักษาอุปกรณ์เหล่านี้ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอุปกรณ์ที่ชำรุดหรือเสื่อมสภาพอาจไม่สามารถป้องกันอันตรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้งานได้

การตรวจสอบประจำวัน ก่อนใช้งานอุปกรณ์เซฟตี้ทุกครั้ง ควรมีการตรวจสอบสภาพเบื้องต้น โดยสังเกตความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น เช่น รอยฉีกขาด รอยแตก การหลุดลอกของวัสดุ หรือการเสื่อมสภาพต่างๆ หากพบความผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อย ควรงดใช้งานและแจ้งผู้รับผิดชอบทันที การละเลยความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ อาจนำไปสู่อุบัติเหตุร้ายแรงได้

การทำความสะอาดหลังใช้งาน หลังเลิกใช้งาน ควรทำความสะอาดอุปกรณ์ทุกชิ้นตามวิธีที่ผู้ผลิตแนะนำ บางอุปกรณ์อาจต้องใช้น้ำยาทำความสะอาดเฉพาะ เช่น แว่นตานิรภัยควรล้างด้วยน้ำสะอาดและเช็ดให้แห้งด้วยผ้านุ่ม หมวกนิรภัยควรเช็ดทำความสะอาดทั้งภายนอกและภายใน รวมถึงสายรัดและอุปกรณ์ปรับขนาด ส่วนอุปกรณ์ป้องกันระบบทางเดินหายใจต้องได้รับการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อตามมาตรฐานที่กำหนด

การจัดเก็บอย่างถูกวิธี การจัดเก็บอุปกรณ์เซฟตี้อย่างเหมาะสมจะช่วยยืดอายุการใช้งานและรักษาประสิทธิภาพการป้องกัน ควรจัดเก็บในที่แห้ง อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่โดนแสงแดดโดยตรง และห่างจากสารเคมีหรือความร้อน ควรมีชั้นหรือตู้เก็บอุปกรณ์โดยเฉพาะ แยกประเภทให้เป็นระเบียบ และติดป้ายระบุชื่อผู้ใช้งานหรือรหัสประจำตัวเพื่อป้องกันการสับเปลี่ยนหรือใช้งานร่วมกัน

การตรวจสอบประจำเดือน นอกจากการตรวจสอบประจำวันแล้ว ควรมีการตรวจสอบสภาพอุปกรณ์อย่างละเอียดทุกเดือน โดยใช้แบบฟอร์มตรวจสอบที่ระบุหัวข้อการตรวจสอบชัดเจน เช่น ความสมบูรณ์ของตัวอุปกรณ์ การทำงานของกลไกต่างๆ อายุการใช้งาน และกำหนดการเปลี่ยนทดแทน ผลการตรวจสอบควรได้รับการบันทึกและเก็บไว้เป็นหลักฐาน

การซ่อมบำรุงตามกำหนด อุปกรณ์เซฟตี้บางประเภทต้องได้รับการซ่อมบำรุงตามระยะเวลาที่กำหนด เช่น เครื่องช่วยหายใจ อุปกรณ์ป้องกันการตก หรืออุปกรณ์ที่มีชิ้นส่วนกลไก การซ่อมบำรุงต้องดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญหรือตัวแทนจำหน่ายที่ได้รับการรับรอง และต้องมีการบันทึกประวัติการซ่อมบำรุงทุกครั้ง

การเปลี่ยนทดแทนตามอายุการใช้งาน อุปกรณ์เซฟตี้ทุกชนิดมีอายุการใช้งานที่จำกัด แม้จะดูแลรักษาอย่างดี เมื่อถึงกำหนดต้องเปลี่ยนทดแทน ควรดำเนินการทันทีโดยไม่ผัดผ่อน เพราะอุปกรณ์ที่เกินอายุการใช้งานอาจเสื่อมประสิทธิภาพโดยที่ไม่สามารถสังเกตได้ด้วยตาเปล่า ควรมีระบบติดตามอายุการใช้งานและแจ้งเตือนล่วงหน้าเมื่อใกล้ถึงกำหนดเปลี่ยน

การฝึกอบรมผู้ใช้งาน การดูแลรักษาอุปกรณ์เซฟตี้จะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อผู้ใช้งานมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง ควรจัดให้มีการฝึกอบรมเรื่องการใช้งานและการดูแลรักษาอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการทบทวนความรู้และอัพเดทข้อมูลใหม่ๆ เกี่ยวกับอุปกรณ์เซฟตี้

การดูแลรักษาอุปกรณ์เซฟตี้เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคนในองค์กร ตั้งแต่ผู้บริหารที่ต้องจัดสรรงบประมาณและกำหนดนโยบาย เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยที่ต้องควบคุมดูแล จนถึงพนักงานผู้ใช้งานที่ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนการดูแลรักษาอย่างเคร่งครัด เพราะความปลอดภัยในการทำงานเป็นสิ่งที่ไม่สามารถประมาทได้ และอุปกรณ์เซฟตี้ที่ได้รับการดูแลอย่างดีจะเป็นเกราะป้องกันที่มั่นคงให้กับผู้ปฏิบัติงานทุกคน

กฎหมายเกี่ยวกับการบังคับใช้อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยในการทำงานในประเทศไทย

กฎหมายในประเทศไทยได้กำหนดข้อบังคับที่ชัดเจนเกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัย (Personal Protective Equipment: PPE) เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและโรคที่เกิดจากการทำงาน และความสำคัญของการบังคับใช้อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยในการทำงานในประเทศไทย นายจ้างจึงจำเป็นต้องจัดเตรียมอุปกรณ์เซฟตี้ที่เหมาะสมให้กับพนักงาน

กฎหมายสำคัญที่เกี่ยวข้อง

  1. พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. 2554 พระราชบัญญัติฉบับนี้เป็นกฎหมายหลักที่กำหนดให้ทุกสถานประกอบกิจการต้องดูแลความปลอดภัยของลูกจ้าง รวมถึงการจัดหาอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยให้เหมาะสมกับลักษณะงาน โดยมาตรา 6 ระบุว่า นายจ้างมีหน้าที่จัดหาและดูแลอุปกรณ์ความปลอดภัยให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน และต้องฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับการใช้งานอุปกรณ์เหล่านี้

  2. กฎกระทรวงแรงงาน กระทรวงแรงงานได้ออกกฎกระทรวงต่างๆ เพื่อกำหนดมาตรฐานความปลอดภัยในอุตสาหกรรม เช่น กฎกระทรวงว่าด้วยความปลอดภัยเกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล พ.ศ. 2563 ซึ่งระบุว่าพนักงานต้องใช้อุปกรณ์ที่ได้รับการรับรองตามมาตรฐานสากล เช่น มาตรฐาน CE, ANSI หรือ ISO

  3. กฎหมายแรงงาน กฎหมายแรงงานระบุให้สถานประกอบกิจการต้องจัดหาสิ่งจำเป็นที่ช่วยลดความเสี่ยงในการทำงาน เช่น ถุงมือป้องกัน สวมหมวกนิรภัย แว่นตานิรภัย และรองเท้าหัวเหล็ก ทั้งนี้ยังต้องจัดให้มีการตรวจสอบอุปกรณ์เป็นระยะเพื่อให้มั่นใจว่าสามารถป้องกันอันตรายได้

ทำไมต้องเลือกซื้ออุปกรณ์เซฟตี้ ที่เวริเซฟ

เวริเซฟ จำหน่ายอุปกรณ์เซฟตี้มามากกว่า 15 ปี มีความเชี่ยวชาญสูงในการให้คำแนะนำการเลือกใช้อุปกรณ์เซฟตี้ มีลูกค้าให้ความไว้วางใจใช้บริการอย่างต่อเนื่อง เวริเซฟยินดีให้คำปรึกษา การเลือกใช้อุปกรณ์เซฟตี้ที่เหมาะสมกับงานของคุณ โดยอุปกรณ์เซฟตี้ที่เราคัดสรรมาจำหน่าย มีมาตรฐานรับรองทุกรายการ เป็นอุปกรณ์ที่ผ่านการทดสอบด้วยความปลอดภัยจากหน่วยงานชั้นนำต่างๆ ทั่วโลก